Dark Mode :

(+66) 34 886148 156
Text Size :
TH EN

2024-01-23

Preparing the water before releasing shrimp

          บทเรียนจากความผิดพลาดจากการเลี้ยงกุ้งตั้งแต่ปี 2554 ได้มาตลอด จนประสบปัญหาจากการเลี้ยงเมื่อปี 2557 จากที่ปล่อยกุ้ง 120,000 ตัว/ไร่ เลี้ยงกุ้งได้ประมาณ 40 วัน เจอปัญหากุ้งป่วย ร่วงระหว่างการเลี้ยง สาเหตุมาจากลักษณะน้ำเปลี่ยนแปลงมาก เช่น ค่า pH ช่วงเช้า และ บ่าย ค่อนข้างแตกต่างกันมาก 
บวกกับให้อาหารกุ้งมาก เพราะเห็นว่ากินดี พยายามแก้ค่า pH ให้ลดลง ก็ยังไม่ได้ แถมกุ้งยังร่วง ป่วยไม่หยุด จึงได้ตัดสินใจปล่อยปลานิลหมันขนาด 10 ตัว/กก. ลงไปประมาณ 5,000 ตัว ในบ่อที่กุ้งป่วย เพื่อตั้งใจจะเลี้ยงปลาขาย ให้ขาดทุนจากการเลี้ยงกุ้งน้อยที่สุด

 

สิ่งที่ได้จากการปล่อยปลาลงบ่อ
          1. ลักษณะน้ำเริ่มได้อย่างที่ต้องการ
          2. กุ้งหยุดร่วงหลังจากปล่อยปลาไป 7-10 วัน
          3. กินเริ่มกินอาหารดีขึ้น
          4. ประเมินอัตรารอด จากการกินอาหารของกุ้ง จาก 25 กิโลกรัม ที่อายุ 40 วัน เพิ่มเป็น 130 กิโลกรัม ที่อายุ 115 วัน

          เมื่อได้แนวทางการแก้ไขความผิดพลาดที่กุ้งป่วย ด้วยการปล่อยปลา จึงกลับมาคิดว่า จะทำอย่างไรให้ลักษณะน้ำก่อนปล่อยกุ้งให้เหมือนน้ำในบ่อปลา เพราะจากการสังเกตุจาก น้ำในบ่อปลาไม่เคยดร๊อบ สีน้ำไม่เคยล้ม จะออกนัวๆตลอดระยะการเลี้ยง

แนวความคิดที่ได้จากลักษณะน้ำที่ได้
          - ปลาตีแปลงหรือตีหลุม(หลักการลากโซ่)
          - ปลาช่วยกรองแพลงค์ตอน 
          - จุลินทรีย์หลายหลายที่ได้จากขี้ปลา
          - เป็นปุ๋ยให้แพลงค์ตอน

แนวทางการทำลักษณะน้ำก่อนปล่อย
          1. ฉีดเลนเอาออกบางส่วน เพื่อกระจายเลน
          2. วัดพีเอชดินแล้วทำการหว่านปูน
          3. กรองน้ำเข้าบ่อ ในระดับความลึก 80-100 ซม.
          4. หมักสารอินทรีย์ เช่นปลาป่น, รำ, ฮิวมัส, แป้งมัน, กากน้ำตาล, EM เพื่อทำลักษณะน้ำให้มีชีวิต

สูตรการหมักฮิวมัส (ขนาดถัง : 200 ลิตร)
          1. ฮิวมัสจากไก่ไข่     10     กิโลกรัม
          2. EM (ขยายแล้ว)     3      ลิตร
          3. กากน้ำตาล            2     กิโลกรัม
หมัก 4-5 วัน ปิดฝาถัง คนทุก เช้า - เย็น


สูตรขยาย EM (ให้อ๊อกซิเจน 24 ชั่วโมง)
          1. น้ำจืด                 200     ลิตร
          2. หัวเชื่อ EM             5     ลิตร
          3. กากน้ำตาล             5     กิโลกรัม
          4. ปุ๋ยเคมี 46-0-0        1     กิโลกรัม


          ลงของหมัก ในช่วงการเตรียมน้ำ 10-15 วัน แล้วจากนั้นลากโซ่ ทุกวัน ลักษณะน้ำที่ได้จะมี ความขุ่นใส ช่วงฤดูฝน ควบคุมความขุ่นใสที่ 30-35 เซนติเมตร ส่วนช่วงฤดูร้อน ควบคุมความขุ่นใสที่ 40-45 เซนติเมตร ลักษณะน้ำที่ได้ จะพร้อมปล่อยกุ้ง เมื่อกุ้งที่ปล่อย เริ่มเชคยอออก เริ่มปล่อยปลาขนาดเท่าใบมะขาม ที่กุ้งอายุประมาณ 15-25 วัน โดยถ้าความเค็มต่ำกว่า 15 ppt ใช้ปลานิลหมัน 100-200 ตัว/ไร่ แต่ถ้าความเค็มเกิน 15 ppt ใช้ลูกปลาหมอเทศ 50 ตัว/ไร่

Read





Guidelines for solving problems in raising marine shrimp farms

กลุ่มอาการขี้ขาว
          พบในลูกกุ้งที่ ติด EHP อยู่ก่อนแล้ว เกิดการอับเสบของตับและลำไส้ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเกิดขี้ขาว กินอาหารลด กุ้งเริ่มผอม ตับเริ่มซีด อ่อนแอ เบื่ออาหาร ลอกคราบ มักเจอกุ้งร่วง ทำให้กุ้งสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร แล้วอาหารที่ตกค้างลำไส้ ทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยเฉพาะแบคทีเรียกลุ่ม Vibrio Vulnificus และ Vibrio alginolyticus ถ้าเจอในลูกกุ้งชุดนั้นๆ ประมาณ 102-103 มีโอกาสเจอกลุ่มอาการขี้ขาวสูง โดยเชื้อพวกนี้จะแฝงตัวอยู่ในอาร์ทีเมีย
          Vibrio Vulnificus และ Vibrio alginolyticus พบว่าบ่อที่เจอ เชื้อ 2 ตัวนี้สูงมีโอกาสเกิด กลุ่มอาการขี้ขาวได้มาก ดังนั้นกุ้งอนุบาลก่อนย้าย ต้องเคลียร์เชื้อ 2 ตัวนี้ออกให้มากที่สุด โดยฟาร์มมีการทดลองพบว่า จุลินทรีย์ในกลุ่ม Lactibacillus บางชนิดสามารถลดจำนวนเชื้อทั้งสองตัวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการผสมเข้าไปในอาหารกุ้ง หรือ ไปหมักกับสับปะรด แล้วนำน้ำหมักสับปะรดมาคลุกอาหารให้กิน 

แนวทางแก้ไข บรรเทา อาการ

  • การป้องกันไม่ให้เกิด คือ สิ่งที่ควรทำที่สุด แก้ไขหลังจากเจอเส้นขี้ขาว ให้งดอาหารในวันที่เจอทันที ตีน้ำให้เต็มที่ ถ้าสามารถดูดเลนได้ให้ดูดออกให้หมด ลงจุลินทรีย์ที่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้
  • วันที่ 2 ให้อาหาร 50% จากที่เคยกิน ผสมน้ำหมักสับปะรด 50 ซีซี/อาหาร 1 กก. ลงจุลินทรีย์ที่ควบคุมเชื้อได้
  • วันที่ 3 เริ่มเปลี่ยนถ่ายน้ำที่ละนิด ครั้งละ 5-10 ซม. ให้อาหารเพิ่มเล็กน้อย ขึ้นทีละ 10%
    ถ้าจำเป็นต้องตัดเชื้อ ต้องเพาะเชื้อว่าเจอเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคเยอะหรือไม่ 
    ถ้าเจอ ให้ใช้โพแทสเซียมโมโนเพอร์ซัลเฟต 1 กก./ไร่ น้ำลึก 1.5 เมตร + คลอรีน 100 กรัม ประมาณ 6 ชม. แล้วลงจุลินทรีย์

การจัดการหลัง อาการขี้ขาวหาย
          หลังจากขี้ขาวหายกุ้งจะผอม เริ่มเบื่ออาหาร กินน้อยถอยลง กระตุ้นการกินโดยใช้น้ำนึ่งปลาทูน่าสกัดเข้มข้นผสมอาหาร ใช้ปลาทะเลต้ม 10 กก./เกลือทะเล 1 กก. น้ำพอท่วมต้มจนสุก นำปลาต้มมาเสริมอาหารและเคล้าในอาหารให้กุ้งกิน กุ้งจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

โรค EHP

  • ถ้าติดเชื้อ EHP อย่างเดียวไม่มีแบคที่เรียแทรกซ้อน 
  • พบเจอกุ้งจะโตช้า กินอาหารเยอะในช่วงแรก แต่ไซส์ไม่เดิน ระยะต่อมาจะกินอาหาร ทรงๆคงที่ ไซส์เดินช้ามาก ADG ลดลงอย่างรวดเร็ว
  • แนวทางแก้ไขต้องตรวจลูกกุ้งก่อนปล่อยว่าไม่พบ EHP จึงจะปล่อย
  • ถ้าปล่อยกุ้งแล้วตรวจพบ EHP เพียงเล็กน้อย ก็พอที่จะประคองการเลี้ยงได้จนจบครอป แต่อัตราการเจริญเติบโตอาจลดลงบ้างตามการจัดการของแต่ละฟาร์ม
  • ไม่มีวิธีที่จะกำจัด EHP ที่เจอในตัวกุ้ง
  • ไม่มียาปฏิชีวะนะ ไม่มีวิธีกำจัด ถ้าเข้าไปในตัวกุ้งแล้ว ไม่มีทางกำจัด แต่มีวิธีการบรรเทาอาการ
  • ใช้สูตรปลาต้มที่แนะนำผสมกับจุลินทรีย์ที่สามารถควบคุมเชื้อที่จะแทรกซ้อนได้ เปลี่ยนถ่ายน้ำให้บ่อยขึ้นแต่ที่ละน้อย ควบคุมอาหารไม่ให้เหลือ ใช้อาหารที่มีโปรตีนจากปลาป่นสูง ใช้จุลินทรีย์ควบคุมคุณภาพน้ำและเชื้อในน้ำ

โรค EMS

  • ป้องกันได้โดยใช้ถูกกุ้งที่ปลอดเชื้อ แต่ถ้าเกิดการติดเชื้อให้เอากุ้งตายออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • แก้ไขโดย งดอาหาร 1 วัน ในวันที่เจอกุ้งร่วง ให้ตัดเชื้อในน้ำโดยใช้โพแทสเซียมโมโนเพอร์ซัลเฟต 1 กก./ไร่ แล้วลงจุลินทรีย์ที่ สามารถควบคุมเชื้อได้ หลังจากลงพแทสเซียมโมโนเพอร์ซัลเฟต ภายใน 6 ชม.
  • วันที่ 2 ให้อาหาร 20% จากที่เคยกิน ผสมน้ำหมักสับปะรด 50 ซีซี ต่ออาหาร 1 กก. + ใช้จุลินทรีย์ที่สามารถ
  • ต้านเชื้อได้ หรือ ลดเชื้อได้ ผสมอาหาร
  • วันที่ 3 ให้สังเกตอาการ หยุดตายแล้วให้ค่อยเพิ่มอาหารที่ละนิด แต่ไม่หยุดตายให้คงอาหารแบบเดิมไว้ก่อน
  • วันที่ 4 ถ้าสามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำใด้ให้เปลี่ยนถ่ายน้ำ แต่ครั้งละน้อยๆ ไม่เกิน 10-15 ชม.

โรคไวรัส WSSV และ YHV

  • เน้นแนวทางในการป้องกัน ระบบไบโอซิเคียวในฟาร์มให้เข้ม เพราะ WSSV และ YHV ไม่สามารถรักษาได้ เจอให้เร็ว จับให้เร็ว หรือ ปิดบ่อให้เร็วที่สุด ป้องกันการแพร่กระจายระหว่างบ่อ คือ ถ้าตรวจพบว่ากุ้งติดไวรัส ให้ใช้ โพแทสเซียมโมโนเพอร์ซัลเฟต 2 กก./ไร่ ละลายน้ำผสม + คลอรีน 200 กรัม สาดลงบ่อ แล้วค่อยจับกุ้ง ถ้ากุ้งเล็กแนะนำให้ปิดบ่อ โดยใช้ยาฆ่าพาหะไตรคลอฟอน หรือ ไดคลอร์วอส 2 กิโลกรัม/ไร่ ปิดบ่อ แล้วขังน้ำไว้ 14 วันเป็นอย่างน้อย ห้ามมีกิจกรรมใดๆ ในบ่อนั้นเด็ดขาดหลังจากปิดบ่อ

โรคทอร่าซินโดรม TSV

  • กุ้งที่ติดเชื้อ TSV จะตายเพียงเล็กน้อย 5-15% ไม่เกินนี้ หลังจากหายจากการติดเชื้อแล้ว พบแผลที่ตัวกุ้งบริเวณเปลือกรอบๆ ตัว ไปจนถึงหาง แก้ไขโดยเสริมแร่ธาตุในน้ำ เช่น ดีเกลือ หรือ แมกนีเซียมซัลเฟต ตักตัวสีส้มที่ขอบบ่อออกให้มากที่สุด ผสมวิตามินซี 10 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม งดเปลี่ยนถ่ายน้ำในระยะแรก ที่พบว่าติดเชื้อ กุ้งจะมีอาการตัวสีส้ม ในช่วงนี้ถ้าเปลี่ยนถ่ายน้ำ กุ้งจะร่วงควรเสริมแร่ธาตุ ให้ครบทุกตัวเป็นสิ่งที่จำเป็น การใช้ยาปฏิชีวนะไม่ทำให้กุ้งดีขึ้น แต่จะทำให้แย่ลง การผสมวิตามินซี และสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน คือ วิธีที่ดีที่สุด
  • แผลของกุ้งจะเริ่มเกิด ประมาณ 7-10 วันหลังได้รับเชื้อแล้ว ถ้าเกิดแผลขึ้นแสดงว่า กุ้งสามารถต่อสู้และฟื้นตัวได้แล้ว การรักษาแผลในกุ้งหลังจากการฟื้นตัว ให้ผสมเกลือแกงในอาหาร 10 กรัม/อาหาร 1 กก. ความเค็มตั้งแต่ 10 ppt ขึ้นไป ถ้าความเค็มต่ำว่า 10 ppt 

ให้ผสมเกลือแกง 20 กรัม/อาหาร 1 กก. ผสมด้วยวิตามินซี และ ถ้ามีแอสต้าแซนทิน หรือ อาหารที่มีสูตรผสมของแอสต้าแซนทิน 
กุ้งจะฟื้นตัวเร็วขึ้น และแผลก็จะหายเร็วขึ้นด้วย ระยะนี้สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำได้ตามปกติ

เหงือกสีชา หรือ เหงือกสีดำ

  • สาเหตุเกิดจากการดรอปของแพลงก์ตอน / เกิดจากกุ้งเข้าไปอยู่ในแนวเลนจำนวนมาก เนื่องจากสภาพฝนตก หรือ อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วทำให้กุ้งต้องหาที่อบอุ่นอยู่ ตามลักษณะนิสัยของกุ้ง น้ำดรอปจากความไม่สมดุลของกลุ่มแพลงก์ตอนในบ่อ 
  • วิธีแก้ไขใส่ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 10 ลิตร/ไร่ ในตอนกลางคืน ถ้าเหงือกสีชา ทำติดต่อกัน 4-5 วัน จนสีของเหงือกดีขึ้น เปลี่ยนถ่ายน้ำทีละน้อย ถ้าเหงือกกุ้งเป็นสีดำ ต้องใส่ทั้งกลางวันและกลางคืน ให้ใส่ไฮโดรเจนเปอร์อกไซด์ 2 ช่วงเวลา คือ 13.00 และ 22.00 น. เหงือกกุ้งจะหายเร็วขึ้น และเปลี่ยนถ่ายน้ำเพิ่มขึ้นให้มากกว่าเดิม เอาเลนออก หรือ ไล่กุ้งจากแนวเลน โดยใช้ ปูนร้อน หว่านรอบๆ หลุมเลน ใช้อ๊อกผงหว่าน 5 กิโลกรัม/ไร่  จุลินทรีย์น้ำแดง และ ซีโอไลท์ 20 ลิตร/ไร่ หว่านรอบแนวเลน

สีน้ำเข้ม

  • สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากอาหารที่เหลือ และการตีน้ำที่มากเกินไปในช่วงเวลาที่แดดจัด 
  • แก้ไข โดยการจำกัดอาหารให้น้อยลง ในระยะแรกวิธีที่ดีที่สุดคือ เปลี่ยนถ่ายน้ำ 
  • การควบคุมสีน้ำ ถ้าสีน้ำเริ่มที่จะเข้มให้ใช้สีน้ำเทียมใส่ลงเพื่อพรางแสง ลดการสัมผัสแสงแดดกับแพลงก์ตอน 
  • ลดการตีน้ำในช่วงที่แดดจัด ควบคุมอาหาร ให้จำกัดเพดานฟีด
  • หลังจากลงสีน้ำเทียม ลงกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทราย เพื่อปรับสมดุลระหว่างจุลินทรีย์และแพลงก์ตอนในบ่อ ปกติจะใช้ประมาณ 5% ของอาหาร เช่น อาหาร 100 กิโลกรัม/วัน ให้ลงกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายที่ 5 กิโลกรัม/วัน
  • ลงจุลินทรีย์เฉพาะกลุ่มที่สามารถกำจัดสารอินทรีย์ หรือ กินเอมโมเนียเป็นอาหาร

เหงือกสีชา หรือ เหงือกสีดำ

  • เกิดจากน้ำเข้มมาก่อนแล้ว เพราะเกิดจากการเจริญเติบโตของกลุ่มแพลงก์ตอนที่มากเกินไปจนเกินกว่าสารอาหารที่มีในบ่อ
  • สารอาหารหมดหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น ฝนตก pH แกว่งในรอบวัน ทำให้แพลงก์ตอนตาย น้ำก็จะดรอป
  • วิธีแก้ไขง่ายที่สุด ถ้าน้ำเกิดดรอปแล้ว คือ การเปลี่ยนถ่ายน้ำ ถ้าไม่มีน้ำเปลี่ยนถ่าย ให้ใช้สีน้ำเทียมก่อน
  • ถ้าน้ำในบ่อติดกันมีสีน้ำที่สวย กลุ่มแพลงก์ตอนที่ดี ก็สามารถดูดมาค่อยๆ เติมในบ่อที่น้ำดรอปได้ จะทำให้สีน้ำเกิดได้เร็วขึ้น

กุ้งเป็นแผล

  • แผลขีดข่วนจากกรีกุ้ง สาเหตุเพราะปล่อยกุ้งที่หนาแน่นเกินไป การรักษาแผลขีดข่วน ให้พาเชียลกุ้งออก แผลก็จะค่อยๆ หายไป ก่อนพาเชียลใช้เกลือแกงผสมในอาหาร 10 กรัม/อาหาร 1 กก. พอกุ้งลอกคราบแล้วให้ใส่แร่ธาตุ แมกนีเซียมซัลเฟต และ โพตัสเชียมคลอไรท์ เปลือกกุ้งจะแข็งเร็วขึ้น แล้วพาเชียลกุ้งออกเพื่อลดความหนาแน่น
  • แผลจากความเค็มต่ำ ไนไตร์ทสูง มักเกิดขึ้นหลังในไตร์ทสูงเกิน 3 ppm เป็นเวลานานหลายวัน เปลือกกุ้งจะบาง เบื่ออาหาร ถ้าปล่อยไปนานๆ กุ้งจะตัวหลวม กรอบแกรบ วิธีบรรเทาเบื้องต้น ให้ไช้วิตามินซี ผสมอาหาร 10 กรัม/อาหาร 1 กก. ผสมเกลือแกงในอาหาร 20 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม (ถ้าความเค็มต่ำ) ใช้กลุ่มจุลินทรีย์ที่จำเพาะเจาะจง ใช้ในไตร์ทเป็นอาหารจะดีมาก เปลี่ยนถ่ายน้ำให้บ่อยทำเบื้องต้นประมาณ 5 วัน แผลก็จะน้อยลงและหายไป

แนวทางการเตรียมบ่อและการจัดการฟาร์ม

  • หลังจากจับกุ้งแล้วให้ฉีดเลน ตากให้แห้งอย่างน้อย 7 วัน เช็คพื้นว่าฉีดเลนสะอาดหรือไม่ ถ้าไม่สะอาดอาจจะต้องฉีดอีกรอบ ให้หว่านปูนร้อน ความเค็มตั้งแต่ 10 ppm ให้ใช้ปูนแคลเซียมอ็อกไซด์ เพราะความเค็มสูง ค่าแมกนีเซียมจะมีปริมาณสูงอยู่แล้ว ต้องเติมแคลเซียมและจะได้อัลคาไลน์ตามมาด้วย ความเค็มต่ำกว่า 10 ppm ให้ใช้ปูนแมกนีเซียมอ๊อกไซด์ เพราะแมกนีเซียมจะมีปริมาณน้อย
  • กรณีบ่อ PE แบบบาง ให้เปิด PE แล้วหว่านด้วยปูนขาวใต้ PE แล้วปิด PE จากนั้น เติมน้ำผสมด่างทับทิม 15 ppm พอท่วมพื้นบ่อ ทิ้งไว้ 24 ชม. เพื่อต้องการกำจัด EHP ที่อยู่ในรูปสปอร์ เมื่อครบ 24 ชม. ก็เติมน้ำเข้าบ่อในปริมาณที่ต้องการเลี้ยง กรองน้ำด้วยมุ้งฟ้าและใยฟู
  • กรณีบ่อดิน หลังจากฉีดเลน ตากบ่อให้แห้ง อย่างน้อย 7 วัน ลงปูนร้อน 300 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากหว่านปูนเสร็จให้เอาน้ำเข้าบ่อทันที (ใช้ปูนดูที่ความเค็มเป็นหลัก)

           วันที่ 1   ลงยาฆ่าพาหะทันที หลังจากน้ำได้ระดับ ที่ 3 กก./ไร่ ที่ระดับความลึก 1.5 เมตร
           วันที่ 3   ลงคอปเปอร์ซัลเฟต 8 กิโลกรัม/ไร่
           วันที่ 6   ลงกากชา 20 กิโลกรัม/ไร่ (ถ้าต้องการให้กากชาออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น ให้หมักกับเกลือ น้ำจืด 400 ลิตร เกลือ 40 กก.)
           วันที่ 10 ลงกากน้ำตาลที่หมักกับจุลินทรีย์ 50 กิโลกรัม/ไร่ หรือน้ำตาลทราย 20 กิโลกรัม/ไร่ (เคล็ดลับลงโพแทสเซี่ยมโมโนเปอร์ซัลเฟต2 กก./ไร่ เพื่อให้ค่า pH นิ่ง)
           วันที่ 12 ลงจุลินทรีย์น้ำแดง 20 ลิตร/ไร่ ผสมปูนซีโอไลท์ กับ จุลินทรีย์น้ำแดงในอัตราส่วนปูน 10 กิโลกรัม/จุลินทรีย์น้ำแดง 20 ลิตร สาดให้ทั่วบ่อเน้นบริเวณหลุมเลน และแนวเลนบริเวณ Auto Feed
           วันที่ 14 ลงจุลินทรีย์ผสมกากน้ำตาล 20 กิโลกรัม/ไร่ เพื่อปรับ pH ให้เหมาะสม (ผสมกากน้ำตาลกับจุลินทรีย์ในถังน็อคหมักไว้ 24 ชม. ให้อากาศเบาๆ)
           วันที่ 15 ตรวจสอบคุณภาพน้ำ ปรับแร่ธาตุให้ได้ตามเกณฑ์ แล้วนำกุ้งที่จะปล่อยมาลองน้ำ

การลงจุลินทรีย์หมักกับกากน้ำตาล หรือ น้ำตาลทราย

  • เพราะว่าเราเตรียมบ่อด้วยปูนร้อนที่ทำให้น้ำ pH สูงเกิน 9 จึงจำเป็นต้องดึง pH ลงมาให้เหมาะสมก่อนการปล่อยกุ้ง กากน้ำตาล หรือ น้ำตาลทรายจึงเป็นตัวเหมาะสมที่จะใช้ เพราะว่าทั้งสองชนิดนี้คืออาหารของจุสินทรีย์เมื่อจุลินทรีย์ขยายตัวจะสร้างกรดคาร์บอนนิคทำให้ pH น้ำลดลง และยังไปละลายแคลเซียมในปูนที่เราใช้เตรียมบ่อ ส่งผลให้เกิด Alkaline จากปฏิกริยาขั้นต้น
  • การใช้จุลินทรีย์หลาย ๆ กลุ่ม เช่น กลุ่มบาซิสัสย่อยโปรตีนจากถั่วเหลือง แป้ง ไขมัน เปลี่ยนโปรตีนที่มีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง ทำให้กุ้งดูดซึมโปรตีนได้ง่ายขึ้นกลุ่มแลตโตบาซิสัสไม่สามารถย่อยโปรตีนจากถั่วเหลืองได้ แต่สามารถผลิตกรดอินทรีย์ (organic acid) กรดอินทรีย์นี้สามารถยับยั้งเชื้อ V. harveyi  V.parahaemolyticus ได้
Read